บทความที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

โสมเกาหลีสมุนไพรบำรุงความจำ,เสริมภูมิต้านทาน ป้องกันความชรา ความดันโลหิต

  1. โสมเกาหลี  

โสมเกาหลี" href="http://www.thaiherbweb.com/product-type/3294/โสมผสมใบแป๊ะก้วย.html">โสมเกาหลี

ทำไมยาอายุวัฒนะถึงต้องราคาแพง ทำไมยาอายุวัฒนะถึงต้องหาซื้อยาก ก็ต้องมีที่มาที่ไปกันหละนะว่า ทำไม ซึ่งยาอายุวัฒนะที่พูดถึงนี่ก็คือ โสมเกาหลี นั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับโสมทั้งให้ด้านสุขภาพ และ ด้านความงามกัน แต่ก่อนที่จะได้ถึงจุดนั้น เรามาทำความรู้จักกับการก่อกำเนิดของโสมแบบฉบับย่อกันก่อน

โดยทั่วไปแล้วถ้าเราพูดถึงโสม ทุกคนก็จะบอกเป็นคำเดียวว่า อ้อ โสมเกาหลี" href="http://www.thaiherbweb.com/product/209497/โสมแดง1.html">#โสมเกาหลี คำตอบที่ถูกคือ ถูกต้องนะครับ แต่ทว่า ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อันที่จริงแล้ว โสม มีถิ่นฐานหลักๆอยู่ทั้งหมด 3 แหล่งด้วยกัน คือ

เอเชียน จินเซ็ง : นั่นก็คือ #โสมเกาหลี ซึ่งก็ปลูกในประเทศเกาหลีและในประเทศจีน โดยค้นพบว่า โสมเอเชียของเรานี้เป็นโสมที่มีประโยชน์สูง และยังรวมไปถึงเป็นโสมที่มีคุณค่าทางอาหารสุงสุดอีกด้วย

อเมริกัน #จินเซ็ง : โสมอเมริกา มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในแถบประเทศอเมริกา โดยยังพบว่า โสมอเมริกานี้มีคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหารรวมไปถึงประโยชน์ในด้านการรักษาด้วยกว่าโสมที่มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในประเทศแถบเอเชีย

ไซบีเรียน จินเซ็ง : โสมไซบีเรีย ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ซึ่งมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในไซบีเรีย โดยเมื่อเทียบด้านคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหารแล้ว โสมไซบีเรีย มีผลด้านการรักษาด้วยกว่า โสมสองแหล่งแรก

ในท้องตลาดกว่า 90% พบว่า ผลิตภัณฑ์จากโสม เป็นโสมที่มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในประเทศจีน และ เกาหลี และยังพบอีกว่า กว่า 70% เป็นโสมที่มาจากประเทศเกาหลีทั้งสิ้น เพราะโสมจากเกาหลีได้รับขนานนามว่าเป็นโสมที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก

กว่าที่ชาวบ้านจะปลูกโสมให้พวกเราได้สรรหามาเ ป็นเจ้าของได้นั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโสมถึงมีคุณค่าทางอาหารสูงสุด เพราะระยะเวลานานมากขนาดนี้จึงส่งผลให้ส่วนรากของโสมเก็บกักอาหารไว้ได้มาก #รากโสม จึงเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ และลักษณะของรากโสมนั้นมีรูปร่างคลับคล้ายคลับคลาไปทางรูปร่างของมนุษย์ มีหัว ตัว แขน ขา พร้อมสรรพ อีกทั้งเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ที่ดินที่ปลูกโสมก็ยังไม่สามารถนำไปเพาะปลูกพืชผลอะไรได้ ให้ดีที่สุดต้องปลูกถั่วเพื่อให้อาหารกับดิน เพราะดินบริเวณที่ปลูกโสมนั้น จะเป็นพื้นดินที่ไม่มีธาตุอาหารแต่อย่างใดแล้ว เพราะโสมเค้าพากันเก็บกักไว้ที่รากของเค้าจนหมด ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง จึงส่งผลราคาโสมนั้นเรียกได้ว่า แพงมากมาย โดยโสมที่เรารู้จักกันนั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ

#โสมแดง : คือ เราขุดโสมมาแล้วเราตัดรากแก้ว รากฝอยออกให้หมด แล้วนำไปอบไอน้ำ คุณค่าทางอาหารของโสมประเภทนี้จึงอยู่ครบถ้วน จึงถูกจัดว่าเป็นโสมที่มีคุณประโยชน์สูงสุด

โสมขาว : กระบวนการถนอมรักษาเบื้องต้นเหมือนโสมแดง แต่เพิ่มเติมโดยการนำโสมไปแช่น้ำเชื่อมทั้งนี้เพื่อให้สามารถเก็บโสมไว้ได้นานขึ้น หรือ อีกนัยเพื่อให้สามารถเก็บนำไปทำเป็นอาหารหรือแปรรูปอื่นๆได้อีก การที่นำโสมไปผ่านกระบวนการมากขึ้นจึงเป็นลดคุณประโยชน์ของโสมลงโดยปริยาย ดังนั้นราคาโสมขาวจึงถูกกว่าโสมแดง

โสมแห้ง : เหมือนการทำผักตากแห้งบ้านเรา คือ นำโสมมาตัดรากฝอย แล้วนำไปตากแห้งก่อน แล้วค่อยอบ

โสมสกัด : ตัวนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการนำ ทุกส่วนของโสมมาแปรรูปด้วยการสกัดเพื่อเป็นสารตั้งต้นในการทำอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางค์

หากหลายๆท่านที่เคยไปเที่ยวชมไร่โสมที่ประเทศเกาหลีมาแล้ว ลองสังเกตุหรือนึกย้อนกลับไปดีๆ ท่านจะพบว่า ชาวสวนโสมนั้น มีผิวพรรณที่ดีมาก แม้ว่าจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูเปล่งปลั่ง #ผิวพรรณหน้าตาดูสดใส แก้มเป็นสีชมพู ดูมีเลือดฝาด รวมทั้ง ยังดูกระปรี้กระเปร่า #กระฉับกระเฉง ดูพวกเค้าไม่เครียด ก็เพราะชาวสวนปลูกโสมก็ต้องทานโสมเป็นเรื่องปกติ ลักษณะการทานของเค้าเหมือนทานหัวมันต้มบ้านเรา หรือ เอาไปเป็นเครื่องเคียงทานร่วมกันกับกิมจิ เมื่อทานบ่อยๆเข้าร่างกายก็จะได้รับประโยขน์จากโสมมากขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้ขชาวสวนโสมดูไม่แก่ตามวัย เพราะอะไรก็เพราะในโสมมีสารชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาข้างต้น สารตัวนี้คือ สารชาโปนิน ซึ่งทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดี หรือพูดง่ายๆสารชาโปนินจะช่วยล้างสิ่งสกปรกต่างๆออกจากร่างกายของเรา จึงส่งผลให้ทุกส่วนของร่างกายรวมไปถึงอวัยวะภายในสะอาดและมี#ภูมิคุ้มกัน อยู่ตลอดเวลา

เมื่อคุณสมบัติของโสมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาลเช่นนี้ ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทานโสมคือ ช่วงเวลาที่ท้องว่าง ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารสกัดที่เราได้รับจากโสมเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีที่สุด แต่ถ้าใครไม่อยากฝีนใจตัวเองว่าต้องทานโสมตอนไหนก็ไม่เป็นไร เพราะโสมเกาหลี คือแหล่งอาหารอันทรงคุณค่า จึงไม่มีข้อแม้ในการทาน เราสามารถทานโสมได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายในด้านการรักษาว่าต้องการปริมาณโสมที่มากหรือน้อยกว่าเพียงใดเท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ในรากของโสมนั้นมีสาร #จินเซ็นโนไซด์ ซึ่งสารชนิดนี้มีหลายชนิด โดยจินเซ็นโนไซด์นั้นจะสะสมอยู่ในส่วนต่างๆของรากโสม โดยเราอาจจะรู้สึกแปลกใจเมื่อทราบว่า ส่วนที่มีจินเซ็นโนไซด์น้อยที่สุด คือส่วนตัว รองลงมาคือส่วนแขนขา และส่วนที่มีมากที่สุดคือ ส่วนหัว

ดังนั้นหากเราได้มีโอกาสได้ทานโสมหละก็ ไม่ต้องเกี่ยงว่าจะเป็นส่วนไหนขอบอกว่า ท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่โชคดีเพราะครั้งหนึ่งในชีวิตท่านได้มีโอกาสได้ทานพืชที่มีประโยชน์และคุณค่าอย่างสูงสุดแล้วhttp://goo.gl/FQD7La   

               

                                        โสมแปะก๊วย

 

ทำไมต้องโสมของร้านนี้

เพราะร้านนี้เราใช้เฉพาะโสมเกาหลี เท่านั้น ไม่ใช่โสมอเมริกา สรรพคุณคนละระดับทานของดีคุ้มค่าผลิตจากรากโสมเกาหลีสด เกรด A อายุ 6 ปี มาผ่านกระบวนการทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว เพาะป้องกันเอ็มไซด์จะทำลายสารจินเซนโนไซน์ในรากโสม หลังจากผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งแล้ว ก็นำมาบดเป็นผงละเอียด 100% ผ่านการตรวจสอบแล้วควบคุมความชื้นให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แล้วนำมาบรรจุแค็ปซูล ขนาด 500 มิลลิกรัม

ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพราะผู้ผลิตโสมมีมาตรฐานการผลิตที่แตกต่างกัน

  • มีผลต่อสมรรภาพของร่างกาย / ป้องกันความชรา

  • ช่วยป้องกันความอ่อนเพลีย , ความเมื่อยล้า

  • ทำให้ร่างกายมีความทนทานต่อการทำงานหรือการออกกำลังกายได้ยาวขึ้น ช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ

  • ช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยเฉพาะหลังอาการเจ็บป่วย

  • ป้องกันความชรา กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของอวัยวะต่างๆ

  • ผลต่อระบบการไหลเวียนของโลหิต / ความดันโลหิต / ปริมาณน้ำตาลในเลือด

  • ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือด ขจัดไขมันตามผนังหลอดเลือด

  • ขจัดสารพิษต่างๆในเลือด ช่วยให้เกล็ดเลือดมีความสมบูรณ์

  • กระตุ้นการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว ป้องกันโรคโลหิตจาง

  • ปรับระบบความดันของโลหิต ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว

  • ป้องกันการช็อกในภาวะที่เสียเลือดมาก ช่วยในสตรีที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับรอบเดือน

  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

  • ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน

  • ผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน

  • ช่วยปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล ป้องกันการติดเชื้อ

  • เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ สุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ เป็นหวัดง่าย แพ้อากาศ ไอหรือจามบ่อยๆ

  • ผลต่อระบบประสาทสัมผัส และระบบความจำ

  • ใช้กระตุ้นให้ร่างกายมีความตื่นตัว ป้องกันและลดความเครียด

  • ทำให้สมองปลอดโปร่ง เสริมสร้างระบบความจำ

  • ยืดอายุเซลล์สมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย

  • ผลต่อระบบการย่อย การดูดซึมและการขับถ่าย

  • ช่วยป้องกันโรคอ้วน ไขมันสะสม ฮอร์โมนผิดปกติ

  • โรคลำไส้อักเสบ

  • ท้องผูก ริดสีดวงทวาร

  • ผลต่อระบบอวัยวะภายใน (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต)

  • ควบคุมการผลิตและการทำงานของฮอร์โมนต่างๆให้อยู่ในภาวะสมดุล ป้องกันอาการเสียหาย

  • เสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะภายในต่างๆ

  • ผลต่อระบบสืบพันธุ์และสมรรถภาพทางเพศ

  • กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนทางเพศ

  • ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของเสปิร์ม และไข่

  • เพิ่มปริมาณและความแข็งแรงของเสปิร์ม

ข้อควรระวังในการใช้


1.ไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ ควรใช้เป็นช่วงๆ คือนาน 1-2 เดือน แล้วหยุด 1-2 เดือน แล้วเริ่มใหม่ เพราะโสมเป็นสมุนไพรมีประโยชน์สุง มีความร้อนสูงจึงควรทานเว้น ทานเว้น
2.ควรทานโสมก่อนอาหาร 3 ชั่วโมง และไม่ควรทานพร้อมวิตามินซี หรือผลไม้รสเปรี้ยว
3.อาจพบอาการข้างเคียงถ้าใช้ในขนาดสูงกว่าที่แนะนำ เช่นความดันโลหิตสูง ตื่นเต้น กระวนกระวาย ท้องเสีย เป็นผื่นที่ผิวหนัง นอนไม่หลับ ซึ่งเรียกว่า “ginseng abuse syndrome”

 

 

 

 



ขอบคุณบทความจาก : http://www.thaiherbweb.com/product-type/3300/พลังโสมแท้-(6ปี).html

สมุนไพรรักษาโรค รักษาโรคจากสมุนไพร

 

                                            มะระขี้นก

พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ  และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด

สมุนไพรรักษาโรค

                         
          ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด

สมุนไพร เบาหวาน

จากข้อมูล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการรวบรวมงานศึกษาวิจัยจากแหล่งข้อมูลต่างๆ พบรายงานวิจัยทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 81 เรื่อง ว่ามีพืชสมุนไพร 54 ชนิด ที่สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ตัวอย่าง สมุนไพร เบาหวาน ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน มีดังนี้

@ช้าพลู

ช้าพลูเป็นผักพื้นบ้านที่คนนิยมรับประทานสดๆ เป็นส่วนประกอบของเมี่ยงคำ เชื่อกันว่าเป็นอาหารบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร คนอิสานยังเชื่อว่าใบช้าพลูมีสรรพคุณแก้พิษของหอย จึงนิยมทำแกงกะทิหอยใส่ใบช้าพลู ภาคใต้นิยมนำช้าพลูมาช่วยในการย่อยอาหาร ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ

ในประเทศไทยมีตำรับยาพื้นบ้านที่ใช้ช้าพลูทั้งห้าต้มแก้เบาหวาน ซึ่งใช้แพร่หลายในชาวบ้าน ต่อมามีการศึกษา โดยต้มช้าพลูทั้งห้า แล้วทดสอบในกระต่าย พบว่าช้าพลูต้มสามารถช่วยลดน้ำตาลได้ดีในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน แต่ไม่ลดในกระต่ายปกติ

นอกจากนี้ ช้าพลูจัดเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับการแนะนำผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากมีฤทธิ์ แอนตี้อ๊อกซิแด็นท์สูงมาก ทั้งยังมีปริมาณแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี สูงมากชนิดหนึ่ง และไม่ลดน้ำตาลในคนปกติอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับนำมาทานเป็นอาหาร เป็นชาหรือยาต้มในคนทั่วไปและผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีใช้  นำช้าพลูทั้งห้า(ทั้งต้นจนถึงราก) 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 ขัน เคี้ยวให้เหลือ 1 ขัน รับประทานครั้งละ ครึ่งแก้วกาแฟก่อนอาหาร 3 มื้อ สรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

@มะระขี้นก

มะระขี้นกจัดว่าเป็นสมุนไพรของไทย จีน พม่า อินเดีย แอฟริกาและอเมริกาใต้  และต่างรู้โดยทั่วกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาเบาหวาน และในทุกภาคของไทยมีการใช้มะระขี้นกเป็นผัก ลวกจิ้มน้ำพริกทำอาหารร่วมกับผักอื่นๆ และส่วนใหญ่มักจะลวกก่อนเพื่อลดความขม

มะระขี้ยกขึ้นง่ายปลูกเองได้ในบ้าน ยอดอ่อน ผลอ่อนนำมาปรุงอาหารได้ มีวิตามินเอและซีสูว รวมทั้งมีรายงานการศึกษาวิจัยสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือด พบว่า สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของน้ำคั้น ชาชง แคปซูล ผงแห้ง

มะระชี้นกนั้นออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับ องค์ประกอบทางเคมีของมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด คือ p-Insulin , Charantin และ Visine

 

ตำรับยา น้ำคั้นสดมะระขี้นก นำผลมะระขี้นกสด 8-10 ผล เอาเมล็ดในออก ใส่น้ำเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม (ประมาณ 100 มล.) หรือรับประทานทั้งกากก็ได้ แบ่งรับประทานวันละ3เวลา ต่อเนื่อง

ตำรับยา ชามะระขี้นก

เอาเนื้อมะระขี้นกผลเล็กซึ่งมีตัวยามากมาผ่าเอาแต่เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งแล้วชงกับน้ำเดือด โดยใช้ชินมะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือต้มเอาน้ำมาดื่มก็ได้ หรือ ใส่กระติกน้ำร้อนต้มดื่มแทนน้ำ ไม่เกิน 1 เดือน เห็นผลตำรับยา ทำแคปซูล หรือลูกกลอน มะระขี้นก รับประทานมะระขี้นก 500-1000 มก. วันละ 1-2 ครั้ง ข้อควรระวัง คนท้อง เด็ก คนที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน

@เตยหอม

ใบเตยหอมอยู่คู่กับอาหารคาวหวานนานาชนิด และมีการใช้มาอย่างยาวนาน หมอยาสมัยก่อน นิยมใช้รากเตย เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน ลดเบาหวาน และใช้ทุกส่วนในการบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื้น แก้อ่อนเพลีย ส่วนของใบใช้แก้ไข้ แก้ร้อนใน รักษาโรคหัด อีสุกอีใส ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์เภสัชวิทยา พบว่า เตยหอม มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นหัวใจ ขับปัสสาวะ แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการทดลองทางคลินิก ทว่า เมืองไทยเรามีการใช้เตยหอมในการรักษาเบาหวานมานาน แม้ส่วนที่ใช้จะเป็นราก แต่เราสามารถเติมน้ำคั้นจากใบเพื่อแต่งกลิ่นได้ และคนที่ไม่เป็นเบาหวานก็ทานได้เช่นกัน

วิธีใช้ นำรากเตยหอมประมาณ 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร  ต้มเดือด จากนั้นเคี่ยวต่อประมาณ 15-20  นาที นำยาที่ได้ดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว วันละ 3 มื้อ  หรือใช้ใบเตยร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นใบเตยหอม 32 ใบ ใบสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วชงดื่มแบบชา หรือใส่หม้อดินต้ม รับประทานยาต่างน้ำทุกวัน ข้อแนะนำ  ควรรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน

@กะเพรา

กะเพรา เป็นพืชที่คนอินเดียบูชา และในฐานะตัวแทนเทพเจ้า กะเพราะจัดเป็นสมุนไพรที่ค่าทางยามากที่สุดชนิดหนึ่งของการแพทย์อายุรเวท โดยใช้กะเพราเป็นยารักษาเบาหวาน แก้ท้องเสีย ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ไอ แก้หอบหืด ปัญหา   ของโรคหัวใจและหลอดเลือด ข้ออักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ และที่นิยมใช้กะเพรารักษาอีกโรคคือ โรคเครียด เนื่องจากมีคุณสมบัติในการคลายเครียดได้ดี

ปัจจุบันมีการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่ากะเพรามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้ม กัน รักษาหืด ต้านความเครียด ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ต้านฮีสตามีน ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด ลดคลอเลสเตอรอล และที่สำคัญคือลดน้ำตาลในเลือดพบ ว่า ใบกะเพราทำให้เซลล์ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น  และการวิจัยในผู้ป่วยเบาหวาน การให้ผงใบกะเพราวันละ 2.5 กรัม 4 สัปดาห์ สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ (เหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวานเล็กน้อยถึงปานกลาง)

 

วิธีใช้ ใช้ผงใบกระเพราทำชา ประมาณ 1 ช้อนชา น้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่ม วันละ 3 ครั้ง แคปซูลกะเพรา รับประทานวันละ 2.5 กรัมต่อวัน หรือน้ำมันกะเพรา 2-5 หยด ต่อวันข้อควรระวัง ไม่ควรใช้กะเพรา ในคนท้องและหญิงให้นมบุตร

@ตำลึง

ตำลึงจัดเป็นผัก สมุนไพรที่หาง่าย คุณค่าทางอาหารสูง และมีข้อมูลการใช้ในตำรับยาอายุรเวทในการรักษาเบาหวานมานานนับพันปี รวมถึง มีการศึกษาวิจัยมากมายและน่าเชื่อถือได้ ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน สามารถใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็น ใบ ราก ผล เป็นผักที่มีวิตามินเอ สูงมาก มีวิตามินบี 3 ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด นอกจากนี้ยังช่วยระบายมีกากใยสูงอีกด้วย

วิธีใช้ นำยอดตำลึง 1 กำมือ หรือขนาดที่กินพออิ่ม โรยเกลือ หรือเหยาะน้ำปลา ห่อด้วยใบตองเผาไฟจนสุก แล้วกินให้หมดหรือกินจนอิ่ม กินก่อนนอนติดต่อกันสามเดือน

@ว่านหางจระเข้

ว่าน หางจระเข้ เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานนับพันปี ในตำราสมุนไพรที่ชื่อของกรีก รายงานการใช้ว่านหางจระเข้อย่างละเอียดพิสดาร ตั้งแต่การใช้รักษาบาดแผล นอนไม่หลับ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ ปวดหัว ผมร่วง โรคเหงือกและฟัน โรคผิวหนังพอง ถูกแดดเผา ผิวด่างดำ ช่วยบำรุงผิวหนัง

ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยประโยชน์ว่านหางจระเข้ทั้งทางยาและเครื่อง สำอาง ในส่วนที่เป็นยานั้นพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดทั้งในคนและสัตว์ทดลอง กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ดังนั้นจึงเหมาะในผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีใช้ รับประทาน เนื้อว่านหางจระเข้สดวันละ 15 กรัม ทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

@อบเชยจีน

อบเชยจีนเป็นพืชประจำถิ่นแถวเอเชียใต้ มีการบันทึกการใช้เป็นยามาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นเครื่องเทศสำคัญจากเอเชียสู่ยุโรป นอกจากการเป็นเครื่องเทศ และเครื่องหอมแล้ว ยังมีการใช้เป็นยาสำหรับรักษาไซนัส หวัด หวัดใหญ่ มะเร็ง  ล่าสุด ได้มีการค้นพบสรรพคุณของอบเชย โดยมีสรรพคุณช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ในอบเชย มีสาร Methylhydroxy Chalone Polymer(MHCP) ที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีฤทธิ์เหมือนอินซูลินคือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยนอกจากลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว อบเชยจีนยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันตัวร้ายLDL และลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย

 วิธีใช้ รับประทานผงอบเชยจีนประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน แบ่งเป็นเช้าครึ่งช้อนชา เย็นครึ่งช้อนชา รับประทานกับเครื่องดื่มเช่น นม โอวัลติน ชา กาแฟ โยเกิร์ต หรือบรรจุแคปซูลรับประทานได้ ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน นอกจากนี้เพียงเอาชิ้นอบเชยแช่ในถ้วยชาก็สามารถใช้ลดน้ำตาลได้ และการรับประทานในปริมาณที่สูงหรือต่ำนั้นก็ทำให้ความสามารถในการลดน้ำตาล ไม่ต่างกัน

 

@อินทนิลน้ำ

อินทนิลน้ำเป็นไม้ต้น ผลัดใบ พบทั่วไปตามที่ราบลุ่มและบริเวณฝั่งแม่น้ำ ป่าเบญจพรรณ และป่าดงดิบทั่วทุกภาค จัดเป็นสมุนไพรที่มีดอกสวย ดอกช่อสีม่วงอมชมพู และยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมในการรักษาเบาหวานมาแต่โบราณของไทย

ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าอินทนิลน้ำมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โยมีสาระสำคัญชื่อ Corosolic acid ออกฤทธิ์เหมือนอินซูลิน จัดเป็นอินซูลินจากธรรมชาติ ไม่พบผลข้างเคียง ทั้งยั้งช่วยชะลอการย่อยแป้งในระบบทางเดินอาหาร และทำให้การลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ดีขึ้น  โดยใบอินทนิลน้ำที่ดีเหมาะกับการนำมาทำยาคือใบแก่ ใกล้ผลัดใบ นอกจากนี้เมล็ดแห้งของอินทนิลน้ำก็สารถช่วยลดน้ำตาลได้เช่นกัน

ตำรับยา

1 ใบอินทนิลน้ำแก่ 100 กรัม  น้ำสะอาด 1 ลิตร ต้มให้เดือด จากนั้นเคี่ยวไฟอ่อนต่อไปอีก 15 นาที ดื่มเป็นยาครั้งละ 1 ถ้วยชา เช้า กลางวัน เย็น  ดื่มต่อเนื่องประมาณ 3 สัปดาห์ จึงสังเกตผลได้

2 ใบอินทนิลน้ำแห้ง 8-9 ใบ คั่วให้กรอบ นำมาต้มน้ำ กินต่างน้ำชา สามารถต้มแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้ ดื่มได้เรื่อยๆ กินติดต่อกันอย่างน้อย 12 หม้อ

@หว้า

ลูกหว้าเป็นผลไม้ป่า มีรสเปรี้ยว ฝาด หวาน เวลากินแล้วปากจะดำ สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายนอกจากเป็นผลไม้กินเล่น เช่น ทำเป็นไวน์ แยม ทำน้ำสมุนไพร

มีการศึกษาประโยชน์ของหว้าทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ถึงฤทธิ์ของการลดน้ำตาลในเลือดพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งการทำลายอินซูลิน ช่วยเพิ่มปริมาณอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งเบาหวาน เพิ่มปริมาณไกลโคเจน ในตับและแม้แต่ในอเมริกาก็มีการยืนยันว่าสารสกัดด้วยน้ำของเมล็ดหว้ามี ประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน

ตำรับยา  ยาต้มเมล็ดลูกหว้า

1 เมล็ดสดของลูกหว้า 100 กรัม (1ขีด)  2 น้ำสะอาด 1 ลิตรนำเมล็ดลูกหว้ามาโขลก ใส่หม้อต้มให้เดือด เคี่ยวไฟอ่อนๆสัก 15 นาที ให้ตัวยาออกมา รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 มื้อ เป็นเวลา 1 เดือน อาการเบาหวานจะทุเลา สามารถลดยา หรือใช้สมุนไพรในการดูแลอย่างเดียวได้ แต่ควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดเสมอ (สามารถใช้เมล็ดแห้งแทนได้ กรณีไม่มีเมล็ดสด)

ตำรับยา ยาผงหรือแคปซูลหว้า

ผงเมล็ดลูกหว้าแห้ง 250 มิลลิกรัม  นำผงเมล็ดลูกหว้าแห้งบรรจุแคปซูล หรือใช้ระลายน้ำ รับประทานวันละ 3 เวลา ขนาดอาจเพิ่มได้ถึง 4 กรัมต่อวัน รับประทานติดต่อกัน 1 เดือน สังเกตผลระดับน้ำตาลในเลือด

การใช้เป็นอาหารสุขภาพ

น้ำลูกหว้า อาจใช้ผลสดหรือแห้ง นำมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร สำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้เช่นกัน

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ความดันโลหิตสูง.html">สมุนไพรรักษาโรค

ที่มา : http://www.thaiherbweb.com/articles/42078669/ความดันโลหิตสูง.html

อ่านก่อนกิน ไม่โดนหลอก สมุนไพร เห็ดหลินจือ แคปซูล

                                         เห็ดหลินจือ

 

 

เสริมภูมิต้านทาน

เห็ดหลินจือ

ชื่อสามัญ : Lingzhi mushroom, Reishi mushroom

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst

ชื่อวงศ์ : GANODERMATACEAE

ชื่อเรียกอื่นๆ : เห็ดหมื่นปี, เห็ดอมตะ เป็นต้น

#เห็ดหลินจือ เป็นยาจีน (Chinese traditional medicine) ที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉิน ซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือ เป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนมีคนนับถือมากที่สุด ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือ เป็น “เทพเจ้าแห่งชีวิต” (Spiritual essence) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกาย ใช้เป็นยาอายุวัฒนะใน การยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ชาวจีนโบราณต่างยกย่องเห็ดหลินจืออย่างเหนือชั้น ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากจะมีสรรพคุณเหนือชั้นกว่าแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใด ๆ ต่อร่างกาย

สรรพคุณ เห็ดหลินจือ

ในสมัยโบราณ กล่าวกันว่า เห็ดหลินจือทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น ใช้บำรุงร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้มีกำลัง ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ชัดเจนดีขึ้น ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสีหน้าแจ่มใส ชะลอความแก่ ส่วนสรรพคุณอื่นๆที่ได้รวบรวมไว้ได้แก่ รักษาและต้านมะเร็ง รักษาโรคตับ #ความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ ปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ ภาวะมีบุตรยาก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ #โรคภูมิแพ้ โรคประสาท ลมบ้าหมู เส้นเลือดอุดตันในสมอง #อัมพาต อัมพฤกษ์ ปวดเมื่อย ปวดข้อ โรคเกาต์ โรคเอสแอลอี เส้นเลือดหัวใจตีบ ตับแข็ง #ตับอักเสบ ปวดประจำเดือน ริดสีดวงทวาร อาหารเป็นพิษ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงสายตา และความเชื่อดังกล่าว ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

เห็ดหลินจือได้ถูกบันทึกไว้ว่า มีขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมาก กว่า 100 สายพันธุ์ และสำหรับสายพันธุ์ที่นิยมมีสรรพคุณทางยาดีที่สุดคือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) หรือสายพันธุ์สีแดง

เห็ดหลินจือมีสารโพลีแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นสารยับยั้งอาการต่างๆ ข้างต้น เห็ดหลินจือในแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกัน แต่สายพันธุ์ที่มีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุด คือ เห็ดหลินจือสีแดง ซึ่งมีงานวิจัยต่างๆ พบว่ามีสารโพลีแซคคาไรด์มากที่สุดในบรรดาเห็ดหลินจือทั้งหมด

                                                เห็ดหลินจือ

ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ เห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก การเลือกผลิตภัณฑ์ #เห็ดหลินจือแดง ควรศึกษาตั้งแต่วิธีการเพาะปลูก ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญ เพราะการจะได้เห็ดหลินจือที่มีคุณภาพที่ดีนั้น ตัวเห็ดหลินจือเอง จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งในเรื่องความชื้น แสงสว่าง และสารอาหารที่ได้รับ ส่วนขั้นตอนการแปรรูป ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ เพราะถือเป็นกระบวนการที่จะสกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากตัวเห็ดเองออกมาให้ได้ มากที่สุด นอกจากนี้การบรรจุภัณฑ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจไม่แพ้กัน ควรเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้ดี เพราะว่าความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้ เนื่องจากเห็ดหลินจือค่อนข้างไวต่อความชื้น

สรรพคุณของเห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ และรักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ แต่มีรายงานทางการแพทย์หลายกรณี ว่า ส่งผลให้ตับอักเสบได้ โดยเฉพาะผู้ผลิตและปลูกโดยไม่มีความรู้ด้านวิศวกรรมเคมียาตะวันออกโบราณอัน ลี้ลับของการใช้เห็ดหลินจือเป็นแกนดูดซับตัวยาอื่นในการบำรุงตับที่แท้จริง กว่า 4000 ปี ในภูมิปัญญาตะวันออก ดังนั้นแพทย์โรคเบาหวานจึงพบผู้ป่วยเป็นโรคตับอยู่บ่อยครั้งในผู้ป่วยที่ไม่ ได้รับประทานเห็ดหลินจือยี่ห้อที่มีสถิติลดเบาหวานได้สูง และควรระมัดระวังการใช้เป็นอย่างมากในผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบที่มีการ ติดต่อทางน้ำลาย ทางที่ดีผู้รับประทานควรตรวจเลือดหาไวรัสตับอักเสบก่อนรับประทาน หรือไปบริจาคเลือดบ่อยๆ แล้วขอดูผลเลือด

ประโยชน์ของเห็ดหลินจือ สรรพคุณของเห็ดหลินจือเห็ดหลินจือสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส ช่วยบำรุงและรักษาสายตา สรรพคุณเห็ดหลินจือใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยทำให้อายุยืนยาว ช่วยชะลอแก่ ชะลอวัย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้นอนหลับได้สนิท ช่วยทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆ ดีขึ้น สรรพคุณช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็ง โดยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็งช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม ท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี อาการปวดจากพิษบาดแผล ช่วยลดความดันโลหิตและรักษาโรคความดันโลหิตสูง ช่วยปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำให้สมดุล ช่วยรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ช่วยป้องกันเส้นเลือดในสมองและหัวใจอุดตัน ป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต ช่วยลด #ไขมันในเลือด ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาทให้ทุเลายิ่ง ขึ้น ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ หอบหืด ช่วยรักษาโรคประสาท สรรพคุณของเห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ และเห็ดหลินจือ" href="http://www.thaiherbweb.com/product-type/10228/หลินจือจักรพรรดิ์.html">รักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ เห็ดหลินจือรักษาโรคไตเรื้อรังบางชนิด โดยช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคลมบ้าหมู ช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ประโยชน์เห็ดหลินจือช่วยขับปัสสาวะ ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อ ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคเกาต์ ช่วยสลายใยแผลเป็น หรือพังผืดหดยืด ทำให้ในแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส อย่าง ไวรัสเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด ช่วยรักษาโรคลูปัส อีริทีมาโตซัส ทั่วร่าง (SLE) หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ช่วยแก้อาการป่วยบนที่สูง เช่น อาการหูอื้อ ช่วยรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดออกซิเจน เช่น ถุงลมโป่งพอง หัวใจหล้มเหลว เส้นเลือดหัวใจตีบ ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือน ช่วยแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยาก ช่วยป้องกันการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ เห็ดหลินจือ จัดเป็นสเตียรอยด์ธรรมชาติ ซึ่งไม่มีสารพิษหรือผลข้างเคียงเหมือนกับสเตรียรอยด์สังเคราะห์

หลินจือ                         เห็ด

 

เห็ดหลินจือเป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน เห็ดหลินจือ เห็ดหลินจือ บำรุงคนชรา บำรุงหัวใจเห็ดหลินจือ เป็น King of Herb เมื่อ คุณสมบัติพิเศษของเห็ด คือโครงสร้างและสารประกอบภายในที่สามารถปรับตัวและป้องกันตัวเองได้ในทุก สภาวะแวดล้อมส่งผลด้านบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการ และเป็นเครื่องมือเสริมการรักษาโรคได้ยอดเยี่ยมฉันนั้น

วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว เห็ดหลินจือช่วย ส่งเสริมการเจริญเติบโต และพัฒนาการ บำรุงกำลังและเสริมความแข็งแรง เสริมภูมิต้านทานโรค บำรุงสมองและสติปัญญา ที่สำคัญช่วยบำรุงสมรรถภาพไต

พอ ก้าวสู่วัยทำงานและกลางคน เจ้าเห็ดมหัศจรรย์ เหมาะใช้เพื่อความงามของผิวพรรณ ลดรอยด่างดำ คงความอ่อนวัย และบำรุงอวัยวะภายใน ทั้ง ปอด ตับไต รวมทั้งเพิ่มสมรรถภาพของระบบต่างๆ

แต่เห็ดหลินจือกลับ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุมากที่สุด เพราะมันช่วยชะลอความแก่ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม เพิ่มออกซิเจนในเลือดกระตุ้นการไหลเวียนเลือด บำรุงหัวใจ ต่อต้านสารพิษ และกำลังเพิ่มความฮอตมากขึ้น เพราะนำมาต่อต้านมะเร็ง

ฆาตกรฆ่ามะเร็งอย่างเห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค และกำจัดเซลล์มะเร็งได้ พวกมันมีวิธีหาอาหารโดยสร้างเอ็มไซม์ ออกไปย่อยสลายสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตภายนอก ซึ่งอาจเป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้ย่อยสลายเชื้อโรคและเซลล์มะเร็งด้วย

สำหรับผู้มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร วิงเวียน นอนไม่หลับ มือเท้าเย็น ไอ หอบหืด อักเสบ มีการเจ็บปวดหรืออาการทางจิตประสาท การบริโภคเห็ดหลินจือก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

นอก จากนั้นยังใช้รักษาร่วมกับผู้ป่วยได้หลายโรค อาทิ โรคมะเร็งที่ใช้เคมีบำบัด และการฉายรังสี เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส โรคเอดส์ โรคทางสมองทั้งหลาย โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง-ต่ำ โรคตับ โรคไต รูมาตอยด์ โรคเอสแอลดี และผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นต้น

เมื่อมีประโยชน์ ก็มีโทษได้ หากบริโภคไม่ถูกวิธี หากเราใช้เห็ดที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพดีแล้ว มันไม่มีโทษแต่ประการใด สามารถใช้ได้ต่อเนื่องตลอดไป ครั้งแรกนั้น คุณหมอสุรพลแนะนำให้เริ่มจากปริมาณน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นทุก 3 วัน ที่น่าสนใจคือ สามารถใช้เห็ดหลินจือเพียงชนิดเดียว หรือหลายชนิดร่วมกันก็ได้ ตลอดจนไม่มีฤทธิ์ตีกับยาที่รับประทานอยู่ หรือการรักษาอย่างอื่นก็ได้

แม้จะมีไม่โทษ แต่มีผลข้างเคียงสำหรับบางคน นอกจากเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยมะเร็งและผู้ป่วยหนัก รวมทั้งผู้มีประวัติแพ้ยาจะต้องปรึกษาแพทย์ตามธรรมเนียมแล้ว ในระยะแรก คนปกติก็อาจมีอาการท้องเสีย คอแห้ง หรือมีผื่นคัน แต่ก็มักจะหายได้เองภายใน 2-7 วัน แต่ถ้ายังมีอาการข้างเคียงดังกล่าวอยู่ แนะนำให้หยุดใช้ไปก่อนหนึ่งสัปดาห์ แล้วลองเริ่มต้นใหม่

สำหรับ คุณสมบัติอันโดดเด่นของหลินจือแดงก็คือ ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค กำจัดสารพิษในร่างกาย กระตุ้นเซลล์ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชรา บำรุงร่างกายเมื่ออ่อนเพลียหรือขณะพักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งช่วยควบคุมระบบไหลเวียนโลหิตให้ไหลเวียนสะดวกมากขึ้น

ความมหัศจรรย์ของเห็ดหลินจือแดงนั้นได้รับการยอมรับในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก โดยมีหลักฐานรายงานการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ในเห็ดหลินจือแดงมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ ทำงานประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุลเพิ่มพลังในการป้องกันและบำบัดโรค คืนพลังการฟื้นฟูร่างกายที่ธรรมชาติเคยมอบให้กับมนุษย์

 

 



เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.thaiherbweb.com/product/223785/ชาย-เห็ดหลินจือแท้-100%.html

สมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด Thaiherbweb

 

                                                                   เบาหวาน

 

#โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม

โรคเบาหวานคืออะไร

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์ เป็นตัวสร้างอินซูลิน #อินซูลิน เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

#สมุนไพรช่วยลดน้ำตาลในเลือด สำหรับใครที่สนใจจะทานสมุนไพรเพื่อรักษาเบาหวานก็ขอแนะนำว่าสมุนไพรเหล่านี้เป็นเพียงทางเลือกเสริม โดยเฉพาะในคนที่ทานยาแผนปัจจุบันแล้วยังไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลงมาอยู่ในค่าเป้าหมายได้ การติดตามผลน้ำตาลและโรคแทรกซ้อน โดยการไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นค่ะ รวมถึงการแจ้งแพทย์เกี่ยวกับสมุนไพรที่เราเลือกใช้เสริมเข้ามา เพราะแพทย์จะได้พิจารณาปรับยาให้ผู้ป่วยให้ได้อย่างเหมาะสมค่ะ

 

                                                                   มะระขี้นก

1.มะระขี้นก – มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือนำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 1-2  ถ้วย วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร  หรือกินในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง มะระขี้นก จะมีรสขมมากกว่ามะระจีน วิธีลดความขมของ #มะระขี้นก ทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกมะระในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ความขมลดลง มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก การรับประทานอาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องร่วงได้ ดังนั้นควรทานผลอ่อน ข้อควรระวังคือ คนท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เพราะความขมจัดของมะระขี้นก อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

 

2.#ช้าพลู – มีงานวิจัยพบว่าน้ำช้าพลูลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่สามารถลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายปกติได้ วิธีใช้ นำช้าพลูทั้งต้นตลอดถึงราก 1 กำมือ พับเถาเป็น 3 ทบ ใช้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ ใส่หม้อต้มกับน้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน กินครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร

 

3.#ผักเชียงดา มีผลช่วยป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล ฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน และลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้ให้ใช้ใบแห้งชงกินเป็นน้ำชา ครั้งละ 4 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือทานเป็นผักในมื้ออาหาร

 

4.ตำลึง – มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี จากการทบทวนผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของทีมนักวิชาการจาก Harvard Medical School พบว่าตำลึงและโสม มีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลที่ดีที่สุดจากการที่มีการออกแบบการทดลองได้อย่างเหมาะสม ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ตำลึงให้ผลลดน้ำตาลทั้งส่วนที่เป็นใบ ราก ผล โดยใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

5.ตดหมูตดหมา -  แม้ว่าชื่ออาจจะแปลกไปสักนิด แต่สรรพคุณในการลดระดับน้ำตาลในเลือดนั้นไม่มีบกพร่องเลยแม้แต่น้อย โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดของใบตดหมูตดหมาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการเพิ่มการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกเพียบ และลดไขมันในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณทางยาพื้นบ้านก็ยังมีอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ แก้ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายพยาธิ แก้อ่อนเพลีย ตกเลือด หรือแม้แต่แก้ปวดเมื่อยก็ช่วยได้เช่นกัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาใช้แล้วไม่ผิดหวัง

                                                อบเชย

6.อบเชย -  #อบเชย หรือชินนามอน (Cinnamon) เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีสารสำคัญในการช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย โดยแค่เพียงโรยผงอบเชยลงในอาหารที่รับประทานก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วล่ะค่ะ

7.เห็ดหลินจือ - อีกหนึ่งสุดยอดสมุนไพรจีนล้ำค่าที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีคุณกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย เนื่องจากใน #เห็ดหลินจือ มีสารในกลุ่มโพลีแซ็กคาไรด์  (Polysaccharide)  ซึ่งที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน อีกทั้งยังช่วยให้น้ำตาลที่อยู่ในเลือดถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 

8.บอระเพ็ด -  สมุนไพรรสชาติขม อีกชนิดที่อยากให้คุณได้ลอง เพราะเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่อยู่ในตำรับยาไทย ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไข้ และช่วยให้เจริญอาหาร ที่สำคัญมีการศึกษาแล้วว่า#บอระเพ็ด มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยไม่พบผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ อีกด้วย ทว่าอาจจะรับประทานยากเพราะขม แต่อย่าลืมนะว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา

9.มะเขือพวง-  #มะเขือพวง ที่คนไทยนิยมใส่ลงในอาหารไทยหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน พะแนง หรือในน้ำพริกต่าง ๆ นอกจากสรรพคุณทางยาพื้นบ้านของไทยแล้ว มะเขือพวงก็ยังสามารถช่วยลดรับระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย โดยมีการศึกษากับหนูทดลองพบว่า น้ำมะเขือพวงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณในการช่วยย่อยอาหารก็เด่นไม่เป็นรองใคร หากคราวหน้าเจอมะเขือพวงในอาหารอย่าเขี่ยทิ้งล่ะ

10.ชาเขียว -   #ชาเขียว สารโพลีฟีนอลในชาเขียวเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังที่ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย โดยสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยส่งเสริมการทำงานของอินซูลิน แถมยังเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยในการลดน้ำหนัก แต่ก็ควรจะดื่มชาเขียวแท้ ๆ นะคะ แบบที่เติมน้ำตาลเยอะ ๆ นั้นเลี่ยงให้ไกลเลยโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ไม่งั้นอาจจะได้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาแทน

                          กระเทียม

 

11.กระเทียม- สารอัลซิลิน (allicin) ที่มีใน #กระเทียม นอกจากจะมีสรรพคุณลดความดันโลหิตและลดไขมันในเลือดได้แล้ว ก็ยังมีฤทธิ์ต่อต้านโรคเบาหวาน อีกทั้งมีการศึกษาพบว่าเอทานอลที่อยู่ในกระเทียมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินได้ ซึ่งถ้าอยากให้ได้ประโยชน์จากกระเทียมแบบเน้น ๆ อย่างนี้ก็ควรจะรับประทานกระเทียมแบบสด ๆ เพราะกระเที่ยมที่ผ่านความร้อนแล้วจะมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่ากระเทียมสดค่ะ

12.ว่านหางจระเข้-  ไม่เพียงแต่ช่วยลดการบวม อาการอักเสบ และช่วยสมานแผลได้เท่านั้น แต่ว่านหางจระเข้ยังเป็นสมุนไพรที่เหมาะจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย เพราะมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าน้ำของว่านหางจระเข้สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งนี้ก็ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด และสรรพคุณพื้นฐานของว่านหางจระเข้ที่ช่วยลดอาการบวมและรักษาแผลก็ยังสามารถใช้กับผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วย เพราะผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดบาดแผลมักจะมีปัญหาแผลหายช้าทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย 

 

                  ขมิ้นชัน

 

13.#ขมิ้นชัน - สมุนไพรที่ให้สีเหลืองสดใสนี้ นอกจากจะช่วยลดอาการอักเสบได้แล้วก็ยังสามารถชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยพบว่าคนที่มีความเสี่ยงโรคเบาหวานหากรับประทานอาหารที่มีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในขมิ้นติดต่อกันเป็นประจำ_จะช่วยให้ความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลง ทั้งนี้มีการสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะสารเคอร์คูมินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง จึงช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายได้นั่นเอง

14.ขิง -  #ขิง มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งศึกษากับหนูทดลองพบว่า หนูที่ได้กินสารสกัดจากขิงวันละ 250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ ผลที่ได้รับคือ ระดับกลูโคสในเลือดของหนูลดลง รวมทั้งยังช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ทั้งนี้ก็ยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณอินซูลินด้วย 

15.กระเจี๊ยบเขียว -  พืชพื้นเมืองของเอธิโอเปียที่เป็นหนึ่งในผักเคียงในจานน้ำพริกของคนไทยอย่างกระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณค่าทางโภชนาการสูงลิบ อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้สามารถช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังหารับประทานไม่ยากเลยล่ะค่ะ

16.โสม -  ด้วยสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์อย่างการเพิ่มภูมิคุ้มกัน และต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทำให้ #โสม เป็นสมุนไพรที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมุนไพรล้ำค่า โดยมีการค้นพบว่าการรับประทานโสมสามารถช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการทำงานของเซลล์ ช่วยให้เซลล์สามารถดึงเอากลูโคสไปใช้งานได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 15-20% เลยทีเดียว

17.ผักเชียงดา -  สมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคเบาหวานแบบพื้นบ้านมานานนับพันปี นอกจากคุณประโยชน์ในการช่วยเสริมกำลังแล้ว ผักเชียงดายังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยเจ้าผักชนิดนี้จะนำเอาน้ำตาลในร่างกายไปเผาผลาญมากขึ้น อีกทั้งยังเข้าไปฟื้นฟูเบต้าเซลล์ของตับอ่อนที่เสียหายจากการถูกน้ำตาลทำลาย ซึ่งเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และ 2 ทั้งนี้ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน แถมยังเพิ่มการหลั่งอินซูลินได้อีกด้วยล่ะ ดีแบบนี้ขอบอกว่าผักเชียงดานั้นมีให้รับประทานง่าย ๆ แบบแคปซูลกันแล้ว ลองหามารับประทานกันได้ค่ะ

  แม้ว่าการใช้สมุนไพรจะช่วยรักษาอาการเบาหวานได้ แต่ก็อย่าลืมว่าสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย หากคิดจะใช้สมุนไพรควบคู่กับการรักษาละก็ ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก่อนจะดีที่สุดค่ะ

 

 
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เบาหวาน.html">สมุนไพรรักษาเบาหวาน

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.thaiherbweb.com/product-type/1985/เบาหวาน.html

สมุนไพรลดอ้วน ลดน้ำหนัก ไขมัน ระบบเผาผลาญ thaiherbweb

 

ลดน้ำหนัก" href="http://goo.gl/xGIzLw">

 

สมุนไพรลดความอ้วน

เป็นที่ทราบกันดีว่าสมุนไพรพื้นบ้านใกล้ๆตัวเรานั้นมี สรรพคุณช่วยในการลดไขมันในเส้นเลือด คอเรสตอรอล และช่วยลดความอ้วนได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยในร่างกายได้หลายอย่าง ข้อดีของการใช้สมุนไพรคือมีผลข้างเคียงและสารพิษน้อยเนื่องจากมาจากธรรมชาติ ราคาถูก หาซื้อง่ายสมุนไพรลดความอ้วน จึงเป็นที่นิยมและต้องการในตลาดอยู่เสมอ ด้วยในปัจจุบันนี้คนไทยก็เริ่มหันมาสนใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น นอกจากการออกกำลังกายและทานอาหารแล้ว ก็ยังนำเอาสมุนไพร มาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดความอ้วนอีกด้วย ส่วนจะใช้สมุนไพรอะไรบ้างนั้น โปรดติดตาม

พริกไทยดำ

นักวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า พริกไทยดำ มีคุณสมบัติในการช่วย ลดความอ้วน เนื่องจาก ในพริกไทยดำ มีส่วนประกอบของสารไพเพอร์รีน (Piperine) ซึ่งจะมีจุดเด่นในเรื่องความฉุนและรสชาติที่เผ็ดร้อน ที่ช่วยควบคุมยีนส์ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง พร้อมกับทำลายเซลล์ไขมันเก่าที่สะสมอยู่ภายในร่างกายให้มีจำนวนน้อยลง

พริกไทยดำ จะมีคุณสมบัติช่วยในการ ลดความอ้วน ดังต่อไปนี้

ช่วยกำจัดเซลล์ไขมันที่อยู่ในร่างกาย โดยทำให้เซลล์ไขมันเก่าที่สะสมอยู่ในร่างกายตาย พร้อมกับควบคุมการเกิดขึ้นใหม่ของเวลล์ไขมัน ทำให้ผอมลงและกลับมาอ้วนอีกยากขึ้นช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานได้ อย่างสมบูรณ์ จึงไม่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความอ้วนขึ้น

ข้อความระวัง : แนะนำ ให้รับประทานพริกไทยดำจากการปรุงอาหาร มากกว่าผลิตภัณฑ์ ลดความอ้วน ต่างๆที่ทำจากพริกไทยดำ โดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ได้ทำการวิจัยแล้วว่า การกินผลิตภัณฑ์ ลดความอ้วน พริกไทยดำ ในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานานนั้น ทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้

ขิง

ขิงในมุมของยาแผนโบราณขิงนั้นจะมีสรรพคุณในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารนั่นคือ ท้องผูก, มีแก็ส, ท้องเสีย, คลื่นไส้, และจุกเสียด และไม่ใช่เพียงแต่นี้ ขิงก็มีประโยชน์ในด้านลดน้ำหนักเช่นกัน นั่นคือมันช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์ได้มากขึ้น กำจัดของเสียได้มากขึ้น และทำให้ร่างกายนำพลังงานที่เก็บไว้ในรูปแบบของไขมันออกมาใช้ได้มากขึ้นเช่น กัน นอกจากนี้ขิงยังมีช่วยเพิ่มพลังให้กับการเผาผลาญ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเพิ่มได้มากถึง 20% เลยทีเดียว และยังช่วยทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วอันเนื่องมาจากเส้นใยอาหารที่มากอีกด้วย

ส้มแขก   

ส้มแขก มีสาร HAC (สารไฮดรอกซีซิตริกแอสิด) อยู่เป็นจำนวนมาก เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเข้าไปสกัดกั้นและยับยั้งการสะสมของไขมันส่วน เกินไนร่างกาย อีกทั้งยังช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ทำให้น้ำหนักลด หน้าท้องยุบ ลดพุง รูปร่างเพรียวขึ้น มีผลดีมากในการ ลดความอ้วน

HAC ทำให้ยับยั้งการนำน้ำตาล จากอาหารประเภท แป้ง ข้าว และน้ำตาล ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมตามร่างกายแต่จะนำไปใช้เป็นพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย และ เมื่อในกระแสเลือดไม่ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้ความรู้สึกหิวอาหารลดลง ไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะนำไปสะสมเป็นพลังงานสำรองในรูปของไกลโคเจนที่ตับ ทำให้ร่างกายรับรู้ว่ามีพลังงานสำรองเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกหิวมาก นอกจากนี้ ยังมีผลไปกระตุ้น ให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้เป็นพลังงานทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้รูปร่างดีขึ้นนั่นเอง

ชาเขียว

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์พบว่า สารคาเฟอีน และสารฝาดแคททิคิน ในชาเขียว มีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มอัตราการเมทาบอลิซึ่มของร่างกายให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรค และการออกซิเดชันของไขมันเมื่อออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถึง 4 % เมื่อเกิดการเผาผลาญพลังงานได้มาก จึงส่งผลช่วยในการสลายไขมันทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่กระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ  นอกจากนี้ ชาเขียวยังช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้น จึงทำให้การเผาผลาญอาหารของร่างกายดีมากยิ่งขึ้น

ใบย่านาง

ย่านาง เป็นไม้เลื้อย พบขึ้น ตามป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ และป่าโปร่ง ทุกภาค ของประเทศไทย มีสรรพคุณเฉพาะ ทั้งต้นปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ ใบเป็นยาถอนพิษการช่วยถอนพิษ แก้ไข้และลดความร้อนในร่างกายได้ อีกทั้งยังเป็นพืชที่ให้แคลเซียมและวิตามินซีค่อนข้างสูง และยังให้สารอาหารอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และเบต้า-แคโรทีน หากกินทั้งใบก็จะมีเส้นใยมาก ส่วนรากของใบย่านางช่วยถอนพิษ แก้ไข้ แก้เมารถ เมาเรือ แก้โรคหัวใจและแก้ลมได้ด้วย ขอแถมให้อีกนิด หากนำน้ำใบย่านางมาสระผม จะช่วยทำให้ผมดกดำ ชลอผมหงอกได้อีกต่างหาก

ใบย่านางกับความเชื่อเรื่องการลดน้ำหนัก

มีความเชื่ออยู่ว่าน้ำที่ต้มกับใบย่านางสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดๆออกมายืนยันผลมีเพียงการทดลองและบอกต่อๆกันเท่า นั้น มีสูตรลดความอ้วนด้วยใบย่างนางมีมากมายหลายสูตรและสูตร ที่ทำง่ายๆและได้ผลดีได้แก่ วิธีเอา “ย่านาง” ทั้งต้น มีขายตามแผงขายพืชผักพื้นบ้าน ตามตลาดสดทั่วไป เป็นกำ กำละ 5-10 บาท ใช้ทั้งกำล้างน้ำให้สะอาดต้มน้ำท่วมยาจนเดือด ดื่มขณะอุ่น 3 เวลาก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ครั้งละ 1 แก้ว ต้มกินจนยาจืด ทำกินเรื่อยๆจะช่วยให้น้ำหนักค่อยๆลดลงได้ แต่ไม่ใช่ลดแบบฮวบฮาบ เมื่อน้ำหนักอยู่ ในระดับที่ต้องการแล้ว จะหยุดกินก็ได้ ข้อสำคัญต้องควบคุมอาหารด้วยจะได้ผลดี และเร็ว ไม่ว่าคุณจะใช้สมุนไพรตัวใดเพื่อลดน้ำหนักก็ตาม ควรจะปฏิบัติควบคู่ไปกับการกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดีขึ้น อย่าจดจ่อกับการใช้สมุนไพรอย่างเดียว เพราะการกินแค่สมุนไพรอาจจะทำให้คุณขาดสารอาหารและเสียชีวิตได้ จึงโปรดใช้วิจารณญาณในการใช้ด้วย

ดอกคำฝอย

มักจะนำมาทำเป็นชาที่เรารู้จักกันดีว่าชาดอกคำฝอย มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับเหงื่อและเป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย ปัจจุบันนำมาใช้ในการลดความอ้วนด้วยการชงดื่ม สรรพคุณของดอก รสหวานร้อน เป็นยาขับระดู บำรุง ประสาท บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้ดีพิการ ขับเหงื่อ ใช้ระงับประสาท บำรุง โลหิต แก้ไขข้ออักเสบ แก้หวัดน้ำมูกไหล เกสร รสหวานร้อน บำรุงโลหิตระดูและแก้แสบร้อนตามผิวหนัง เมล็ด รส หวานเย็น เป็นยาถ่าย ขับเสมหะ แก้โรค ลมเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน แก้อัมพาต แก้ฝี แก้ขัดตามข้อและลดไขมันในเส้นเลือด

ตำลึง

ผักพื้นบ้านที่คนไทยใช้ยอดและใบตำลึงกินเป็นผักสด อาจนำไปต้มหรือลวกจิ้มกับน้ำพริก ใช้ปรุงในแกงต่างๆ เช่น แกงจืด แกงเลียง ต้มเลือดหมู ก๋วยเตี๋ยวหมูตำลึง นำไปผัดตำลึงไฟแดง หรือใส่ในไข่เจียว ผลอ่อนของตำลึงกินกับน้ำพริกคล้ายแตงกวา หรือดองกินคล้ายแตงดองได้ เนื้อในผลสุกของตำลึงมีรสอมหวาน กินได้ อุดมด้วยสารกลุ่มแอนโทไซยานินที่ต้านอนุมูลอิสระและดูแลผนังหลอดเลือดให้ อ่อนนิ่มใช้งานได้ยืนยาว ใบตำลึงเป็นอาหารที่มีบีตาแคโรทีนสูงมาก องค์การอาหารและสิ่งแวดล้อมเพื่อชนกลุ่มน้อยระบุว่า ตำลึงเป็นพืชที่มีบีตาแคโรทีนที่ดีที่สุดสำหรับชาวไทยภูเขา บีตาแคโรทีนเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ บีตาแคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ดังนั้น ที่กล่าวกันว่า “ตำลึงบำรุงสายตา” ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง

ถั่วขาว

จตุผลาธิกะ

 ประกอบด้วยผลไม้ 4 อย่าง คือ สมอไทย สมอพิเภก สมอเทศ มะขามป้อม ผลไม้ทั้ง 4 อย่างมีรส เปรี้ยว ฝาด ขม นำ และหวานน้อยตาม เมื่อมาประกอบกันในอัตราส่วนเสมอภาค มีสรรพคุณในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเสมหะ เมือกมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอวัยวะหลายส่วน เช่น ปอด หลอดอาหาร หัวใจ หลอดเลือด ลำไส้ เมื่อใดที่เสมหะ เมือกมันมีส่วนเกินเนื่องจากอาหาร หรือมีไข้ การกำจัดส่วนเกินไปเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นร่างกายก็จะป่วยไข้ได้

พริก

พริกเครื่องเทศในครัวเรือน จัดเป็นของคุ่ครัวไทยมาแต่โบร่ำโบราณ ด้วยเพราะรสชาติที่เผ็ดร้อนและกลิ่นหอมฉุนช่วยส่งเสริมให้รสชาติอาหารดียิ่งขึ้น พริกจัดอยู่ในกลุ่มของพืชผักสมุนไพร มีลักษณะและรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์วิตามินและแร่ธาตุที่ประกอบอยู่ในพริกนั้นก็มีอยู่มากมาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม ใยอาหาร โดยเฉพาะวิตามินซีนั้นมีอยู่ในปริมาณสูงจึงมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงและบรรเทาอาการไข้หวัด ทั้งยังช่วยในการลดการอุดตันในเส้นเลือดและช่วยสลายลิ่มเลือด ทั้งยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญพลังงานได้อีกด้วย



เครดิต : http://www.thaiherbweb.com/index.php?mo=3&art=541606

ขมิ้นชันแคปซูล ต้านอนุุมูลอิสระ เคอคูมิน สำหรับผู้ที่อยากบำรุง อวัยวะภายในอาทิ ลำไส้ กระเพาะ ลำไส้ ขมิ้นชันเต็มไปด้วยวิตามิน A , C , E รวมถึงสารที่เรียกว่า คูเคอร์มิน ซึงต้านอนุมูลอิสระ ได้อย่างแรง ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง


ขมิ้นชัน

ขมิ้นชันแคปซูล

ก่อนที่จะมาเป็น ขมิ้นชันแคปซูล เรามาทำความรู้จักกับ ขมิ้นชัน กันก่อนว่าที่มาที่ไป ต้นกำเนิดมาจากไหน การขยายพันธุ์เพาะปลูก และการเก็บเกี่ยว เกษตรกรไทย ต้องเตรียมอะไรบ้าง กว่าจะออกมาเป็น ขมิ้นชันแคปซูล ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่ขายดีมากในปัจจุบัน

ขมิ้นชัน

ชื่อสามัญ : Turmeric

เสริมภูมิต้านทาน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Curcuma longa Linn.

ชื่อวงศ์ : ZINGIBERACEAE

ชื่ออื่น : ขมิ้น ขมิ้นทอง ขมิ้นหัว ขมิ้นแกง ขมิ้นไข ขมิ้นหยวก หมิ้น ขี้มิ้น

ขมิ้นชันเป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยนำขมิ้นชันมาใช้แต่งสี แต่งกลิ่น และรสของอาหาร ตลอดจนใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่รู้จักในชื่อว่า ขมิ้นเป็นพืชที่ปลูกไว้ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและปลูกเป็นการค้า มีปลูกอยู่ทั่วไป ปลูกมากทางภาคใต้ เพราะอาหารของภาคใต้จะมีการใช้ขมิ้นเป็นส่วนผสมของอาหารเกือบทุกชนิด

ลักษณะทั่วไป

ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุก มีอายุหลายปี มีลำต้นจริงอยู่ใต้ดิน (rhizome) ลักษณะเป็นเหง้าแง่ง เนื้อในเหง้าแง่งมีสีเหลืองอมส้มและมีกลิ่นเฉพาะตัว ส่วนลำต้นเหนือดินเกิดจากการอัดตัวกันของกาบใบ ซึ่งจะสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ใบรูปหอกมีสีเขียว กว้าง 8-10 เซนติดเมตร ยาว 30-40 เซนติเมตร

ออกดอกเป็นช่อ รูปทรงกระบอก ช่อดอกประกอบด้วยใบประดับจำนวนมาก มีสีเขียวอ่อน ส่วนใบประดับตรงปลายช่อจำนวน 6-10 ใบจะมีสีขาวหรือขาวแกมชมพูเรื่อๆ ดอกมีสีเหลืองอ่อน ซึ่งเกิดในซอกใบประดับ (ยกเว้นซอกใบตรงปลายช่อ) ผลเป็นรูปกลม ภายในผลแบ่งออกเป็นพูได้ 3 พู ในแต่ละพูจะมี 2 เมล็ด

พันธุ์และการขยายพันธุ์

ขมิ้นชันที่ดีในตลาดโลกมีมากกว่า 50 สายพันธุ์ ส่วนมากมาจากอินเดีย แต่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงใช้พันธุ์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น โดยเกษตรกรจะคัดเลือกไว้หลังฤดูการเก็บเกี่ยว เช่น ขมิ้นชันทับปุด (พังงา) ขมิ้นชันตาขุน (สุราษฏร์ธานี) ขมิ้นชันดอยมูเซอ ขมิ้นชันพันธุ์ตรัง 84-2 เป็นต้น

ส่วนการขยายพันธุ์จะใช้เหง้าหรือแง่งนิ้วที่มีตาอยู่ 2-3 ตา/ท่อน พันธุ์ หรือ จะใช้แง่งย่อยทั้งแง่งก็ได้ แต่การใช้เหง้าปลูกจะเจริญเติบโตเร็วกว่า

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ขมิ้นชันชอบอากาศแบบร้อนชื้น หากปลูกในที่โล่งแจ้งหรือมีแสงรำไรจะเจริญเติบโตได้ดี ชอบดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี มีค่า pH ประมาณ 5-7.5 ไม่ชอบดินเหนียวและดินลูกรัง และไม่ชอบสภาพน้ำท่วมขัง เพราะจะทำให้เหง้าเน่า

การเตรียมดินปลูก

ก่อนปลูกควรดายหญ้าเพื่อกำจัดวัชพืช แล้วไถพรวนลึก 20.30 เซนติเมตรอย่างน้อย 1 ครั้ง ตากดินไว้ 1 สัปดาห์ เพื่อทำลายแมลงและเชื้อราบางชนิด จากนั้นยกร่องสูง 25 เซนติเมตร กว้าง 2 เมตร ระยะระหว่างร่อง 80 เซนติเมตร แต่ถ้าดินปลูกเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องยกร่อง

ปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว อัตรา 4 ตัน/ไร่ หรือใส่เศษซากพืช ใบไม้ผุ ลงในแปลงปลูก และควรใส่ปูนขาวในดินเพื่อปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินด้วย

การเตรียมหัวพันธุ์

การปลูกขมิ้นชันอาจใช่ท่อนพันธุ์ได้ 2 ลักษณะคือ การใช้หัวแม่และใช้แง่ง มีวิธีการเตรียมดังนี้

1.คัดเลือกหัวพันธุ์ที่มีอายุ 7-9 เดือน มีตาสมบูรณ์ และไม่มีโรคแมลงทำลาย

2.แบ่งหัวพันธุ์โดยการหั่นให้เป็นท่อน โดยในแต่ละท่อนให้มี ตาติดอยู่ 2-5 ตา

3.นำท่อนพันธุ์ไปแช่ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ตามอัตราที่แนะนำ

4.ก่อนนำลงปลูก ควรชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เพื่อป้องกันโรคหัวเน่าซึ่งอาจติดมากับท่อนพันธุ์

การปลูก

วิธีปลูก ควรปลูกในฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เพราะฤดูอื่นขมิ้นจะพักตัว ไม่งอก โดยใช้ระยะปลูก 30*30 เซนติเมตร ขุดหลุมปลูก ให้มีขนาด 15*15*15 เซนติเมตร แล้วใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุมประมาณหลุมละ 200 กรัม หรือ 1 กระป๋องนม

จากนั้นนำหัวพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูก กลบดินให้หนา 5 เซนติเมตร คลุมแปลงด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้งให้หนาประมาณ 2 นิ้ว เพื่อรักษาความชื้นในดินและป้องกันการงอกของวัชพืช และรดน้ำให้ชุ่มหลังจากปลูกประมาณ 7-10 วัน เหง้าขมิ้นก็จะเริ่มงอก

การดูแลรักษา

การให้น้ำ ช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโต ควรให้น้ำแก่ต้นอ่อนอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หากวันไหนฝนตกไม่ต้องให้น้ำ แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำท่วมขังในแปลงเป็นเวลานานๆ เพราะอาจทำให้ขมิ้นเน่าตายได้ ควรเตรียมแปลงให้มีทางระบายน้ำและต้องรีบจัดการระบายน้ำออกทันทีที่พบว่ามีน้ำท่วมขัง

สำหรับระยะหัวเริ่มแก่ ขมิ้นจะต้องการน้ำน้อยลง ส่วนในระยะเก็บเกี่ยว ขมิ้นจะไม่ต้องการน้ำเลย

การใส่ปุ๋ย ขมิ้นชันอายุ 1 เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน ซึ่งกำลังเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา ครึ่ง ช้อนแกง/ตัน

ขมิ้นชันอายุ 3 เดือน ถึง 4 เดือนครึ่ง อยู่งอยู่ในระยะสะสมอาหาร ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อนแกง/ต้น

วิธีการใส่ปุ๋ย อาจโรยเป็นแถวหรือโรยรอบๆต้นแล้วพรวนดินกลบโคนต้น

การกำจัดวัชพืช หลังจากขมิ้นชันงอกลำต้นยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร จะต้องรีบทำการกำจัดวัชพืช เนื่องจากขมิ้นชันหลังจากงอกจะเจริญเติบโตแข่งกับวัชพืชไม่ได้ หลังจากนั้นควรดายหญ้าบนแปลงทุกเดือน

อย่างไรก็ตามการกำจัดวัชพืชควรทำก่อนที่ขมิ้นอายุได้ 4 เดือน หลังจากปลูก เพราะถ้าทำหลังจากนี้จะเป็นอันตรายกับหัวขมิ้นที่อยู่ใต้ดิน

การป้องกันกำจัดโรคและแมลง โรคของขมิ้นชันมีสาเหตุสำคัญมาจากน้ำท่วมขัง หรือการให้น้ำมากเกินไป หรือปลูกน้ำในที่เดิมหลายๆครั้ง โรคที่พบได้แก่ โรคเหง้าและรากเน่าซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โรคต้นเหี่ยว โรคใบจุด โรคแอนแทรคโนสและโรคใบไหม้ ซึ่งเกิดจากเชื้อรา ส่วนแมลงศัตรูที่สำคัญ ได้แก่ เพลี้ยหอย เพลี้ยไฟ ฟนอนกระทู้ จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากเหง้าและกัดกินใบ ดังนั้นควรเตรียมแปลงปลูกให้มีทางระบายน้ำ ก่อนปลูกควรแช่ท่อนพันธุ์ด้วยไดโฟลาแทน เพื่อป้องกันโรครากเน่า และหากมีแมลงกัดกินใบควรพ่นด้วยเซฟวิน

การเก็บเกี่ยว

หลังจากปลูกประมาณ 7 เดือน ขมิ้นเริ่มมีใบเหลือง แสดงว่าขมิ้นเริ่มแก่ แต่ควรปล่อยให้ขมิ้นอยู่ในแปลงต่อไปอีก จนขมิ้นมีอายุ 9-11 เดือน ซึ่งเหง้าจะมีความสมบูรณ์หรือแก่เต็มที่ จึงขุดขึ้นมา ก่อนขุดควรรดน้ำก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ดินอ่อนนุ่มสะดวกต่อการขุดและช่วยให้แง่งไม่หัก ไม่ควรเก็บเกี่ยวในระยะที่ขมิ้นเริ่มแตกหน่อ หลังจากขุดขึ้นมาแล้วต้องนำไปตัดแต่งรากและล้างดินออกให้สะอาด

สรรพคุณทางยา

เหง้าหรือแง่งแก่ แก้อาการท้องร่วง ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ เจริญอาหาร ขับผายลม ขับเสมหะ แก้โรคกระเพาะ รักษาแผลในกระเพราะ รักษาแผลในลำไส้ แก้ไข้ท้องมาร แก้โรคเกาต์ แก้วิงเวียน แก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน แก้กลากเกลื้อน บำรุงผิวพรรณ แก้อักเสบ แก้พิษยุงกัด แก้คัน แก้บิด สมานแผล เป็นต้น

ราก เป็นยาบำรุง ลดไข้ แก้ลมชัก แก้อาการฟกซ้ำ แก้โรคผิวหนัง ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เป็นต้น

รสทางยา : ฝาด กลิ่นหอมฉุน

ประโยชน์ของขมิ้นชัน

ด้วยคุณประโยชน์ที่ขมิ้นชัน มีวิตามิน เอ, ซี, อี ดังนั้นจึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง

ขมิ้นชัน ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุก เสียด แก้โรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้มีการผลิตขมิ้นชันแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวกแก่การรับประทาน กลายมาเป็น ขมิ้นชันแคปซูล ที่ขายดีในขณะนี้นั่นเอง

กินขมิ้นชัน ทุกวันให้เป็นอาหาร

แน่นอนหลายท่านคงจะไม่เข้าใจว่า กินทุกวันให้เป็นอาหารคืออะไร เรามาทำความรู้จักกับขมิ้นชันกันก่อนดีกว่า ขมิ้นชัน เป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหงาจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีตั้งแต่สีเหลืองเข้ม จนถึงสีแสดจัด คนไทยรู้จักกันในทางเอามาปรุงอาหาร แต่งกลิ่นอาหาร ปลาทอด ไก่ทอด แกงไตปลา และอีกสารพัดเมนู

ขมิ้นชันอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเป็นต้น เหง้าของขมิ้นชันนั้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการอักเสบ และมีฤทธิ์ในการขับน้ำดี ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับ บำรุงตับ

การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า การกินขมิ้นชันตามนาฬิกาชีวิตในช่วงที่อวัยวะต่างๆเปิดการทำงาน จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของขมิ้นชันมากขึ้น เพราะฉนั้น เราต้องกินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ต้องกินให้สนุก ไม่ใช่กินเป็นยา ใช้ปรุงอาหารบ้าง หุงข้าวใส่ขมิ้นชันก็ได้ กินแบบเม็ดแคปซูลบ้าง

ใช้รับประทานเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปือกหรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อความสะดวกแก่การรับประทาน

ขมิ้นชันมีประโยชน์และสรรพคุณหลายประการ ดังนี้

          ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ, ซี, อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดลำไส้ เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ ต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งตับ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปและสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

          กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูอวัยวะ รับประทานเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ถ้ารับประทานขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่ขับไขมันในตับ

          กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ไม่ใช่กินเป็นยา ต้องกินให้สนุกใช้ปรุงอาหารกินบ้าง หุงข้าวก็ใส่ขมิ้นชันได้ ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากิน และยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้เป็นบางส่วน

          ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ ต้องปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นบดเป็นผง ต้องนำขมิ้นมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง เสร็จแล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นแห้ง ความร้อนไม่ควรเกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้

 ขมิ้นชัน                      

 

กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น


          เวลา 03.00 - 05.00 น. ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง


          เวลา 05.00 - 07.00 น. ช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิต นมสด น้ำผึ้ง มะนาว หรือน้ำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆ อยู่เป็นล้านๆ เส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้

          เวลา 07.00 - 09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม

          เวลา 09.00 - 11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป ผอมเกินไปที่เกี่ยวกับม้าม ลดอาการของโรคเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน

          เวลา 11.00 - 13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ มีหรือไม่มี ถ้ากินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลยเวลา 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ แล้วตับจะส่งมาที่ปิด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง

          เวลา 15.00 - 17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงือกออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้

          กินเหลือเลยเวลาจากช่วงนี้ จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมา

การหาซื้อขมิ้นชันมารับประทานเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบผง หรือแบบแคปซูล ควรจะหาซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสะอาดปลอดสารเคมี ไม่มีสารสเตียรอยด์ปลอมปน และในกระบวนการผลิตนั้นต้องไม่ผ่านความร้อนเกิน 65 องศา เพื่อคงคุณภาพของขมิ้นชันไว้

ผลการศึกษาวิจัยขมิ้นชัน

ได้มีการทดลองในผู้ป่วยที่ปวดท้องเนื่องจากมีแผลในกระเพาะอาหาร การทดลองผลการรักษาแผลในกระเพาะอาหารในคน โดยการส่องกล้อง พบว่า ขมิ้นชันช่วยให้แผลในกระเพาะอาหารหายได้ดี ผู้ป่วยต้องได้รับขมิ้นชันติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เช่นเดียวกับยาแผนปัจจุบัน
     แต่ในกรณีของการติดเชื้อ H. pylori พบว่าไม่สามารถฆ่าเชื้อ H. pylori ได้ แต่ก็ยังช่วยรักษาอาการอาหารไม่ย่อย และลดการอักเสบของแผลในกระเพาะอาหาร ลด อาการปวดแสบท้อง

     การรับประทานขมิ้นชันมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า วิตามินอี 80 เท่า ปัจจุบันจึงนำมาใช้ในโรคที่คาดว่าจะเกิดจากอนุมูลอิสระ อาทิ โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และหลอดเลือด

ข้อควรระวังการใช้ขมิ้นชัน

      การรับประทานขมิ้นชันเพื่อการรักษาโรคใดๆ ก็ตาม ถ้าหากเรารู้ว่าเราเป็นโรคอะไร หากรับประทานไปเรื่อยๆ จนโรคนั้นหายไปแล้ว ก็ควรหยุดรับประทาน ถึงแม้ขมิ้นจะมีประโยชน์ก็จริงแต่หากร่างกายได้รับมากเกินความต้องการอาจจะกลายเป็นโทษเสียเอง ขมิ้นชันผลข้างเคียงคืออาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ดังนั้นหากคุณรับประทานขมิ้นแล้วมีอาการดังกล่าวควรหยุดรับประทานและหายาชนิดอื่นรับประทานแทน และยังมีความเชื่อว่าขมิ้นชัน โทษและข้อเสียของขมิ้นในแถบภาคใต้ว่าการรับประทานขมิ้นที่มากเกินไปและถี่เกินไปนั้นแทนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง แต่อาจจะเป็นมะเร็งเสียเอง

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : เสริมภูมิต้านทาน

ขอบคุณบทความจาก : http://www.thaiherbweb.com/product-type/3311/ขมิ้นชันแก่.html

โสมเกาหลีสมุนไพรบำรุงความจำ,เสริมภูมิต้านทาน ป้องกันความชรา ความดันโลหิต

  1. โสมเกาหลี  

โสมเกาหลี

ทำไมยาอายุวัฒนะถึงต้องราคาแพง ทำไมยาอายุวัฒนะถึงต้องหาซื้อยาก ก็ต้องมีที่มาที่ไปกันหละนะว่า ทำไม ซึ่งยาอายุวัฒนะที่พูดถึงนี่ก็คือ โสมเกาหลี นั่นเอง เรามาทำความรู้จักกับโสมทั้งให้ด้านสุขภาพ และ ด้านความงามกัน แต่ก่อนที่จะได้ถึงจุดนั้น เรามาทำความรู้จักกับการก่อกำเนิดของโสมแบบฉบับย่อกันก่อน

โดยทั่วไปแล้วถ้าเราพูดถึงโสม ทุกคนก็จะบอกเป็นคำเดียวว่า อ้อ #โสมเกาหลี คำตอบที่ถูกคือ ถูกต้องนะครับ แต่ทว่า ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อันที่จริงแล้ว โสม มีถิ่นฐานหลักๆอยู่ทั้งหมด 3 แหล่งด้วยกัน คือ

เอเชียน จินเซ็ง : นั่นก็คือ #โสมเกาหลี ซึ่งก็ปลูกในประเทศเกาหลีและในประเทศจีน โดยค้นพบว่า โสมเอเชียของเรานี้เป็นโสมที่มีประโยชน์สูง และยังรวมไปถึงเป็นโสมที่มีคุณค่าทางอาหารสุงสุดอีกด้วย

อเมริกัน #จินเซ็ง : โสมอเมริกา มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในแถบประเทศอเมริกา โดยยังพบว่า โสมอเมริกานี้มีคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหารรวมไปถึงประโยชน์ในด้านการรักษาด้วยกว่าโสมที่มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในประเทศแถบเอเชีย

ไซบีเรียน จินเซ็ง : โสมไซบีเรีย ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ซึ่งมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในไซบีเรีย โดยเมื่อเทียบด้านคุณประโยชน์และคุณค่าทางอาหารแล้ว โสมไซบีเรีย มีผลด้านการรักษาด้วยกว่า โสมสองแหล่งแรก

ในท้องตลาดกว่า 90% พบว่า ผลิตภัณฑ์จากโสม เป็นโสมที่มีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในประเทศจีน และ เกาหลี และยังพบอีกว่า กว่า 70% เป็นโสมที่มาจากประเทศเกาหลีทั้งสิ้น เพราะโสมจากเกาหลีได้รับขนานนามว่าเป็นโสมที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก

กว่าที่ชาวบ้านจะปลูกโสมให้พวกเราได้สรรหามาเ ป็นเจ้าของได้นั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโสมถึงมีคุณค่าทางอาหารสูงสุด เพราะระยะเวลานานมากขนาดนี้จึงส่งผลให้ส่วนรากของโสมเก็บกักอาหารไว้ได้มาก #รากโสม จึงเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ และลักษณะของรากโสมนั้นมีรูปร่างคลับคล้ายคลับคลาไปทางรูปร่างของมนุษย์ มีหัว ตัว แขน ขา พร้อมสรรพ อีกทั้งเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ที่ดินที่ปลูกโสมก็ยังไม่สามารถนำไปเพาะปลูกพืชผลอะไรได้ ให้ดีที่สุดต้องปลูกถั่วเพื่อให้อาหารกับดิน เพราะดินบริเวณที่ปลูกโสมนั้น จะเป็นพื้นดินที่ไม่มีธาตุอาหารแต่อย่างใดแล้ว เพราะโสมเค้าพากันเก็บกักไว้ที่รากของเค้าจนหมด ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง จึงส่งผลราคาโสมนั้นเรียกได้ว่า แพงมากมาย โดยโสมที่เรารู้จักกันนั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ

#โสมแดง : คือ เราขุดโสมมาแล้วเราตัดรากแก้ว รากฝอยออกให้หมด แล้วนำไปอบไอน้ำ คุณค่าทางอาหารของโสมประเภทนี้จึงอยู่ครบถ้วน จึงถูกจัดว่าเป็นโสมที่มีคุณประโยชน์สูงสุด

โสมขาว : กระบวนการถนอมรักษาเบื้องต้นเหมือนโสมแดง แต่เพิ่มเติมโดยการนำโสมไปแช่น้ำเชื่อมทั้งนี้เพื่อให้สามารถเก็บโสมไว้ได้นานขึ้น หรือ อีกนัยเพื่อให้สามารถเก็บนำไปทำเป็นอาหารหรือแปรรูปอื่นๆได้อีก การที่นำโสมไปผ่านกระบวนการมากขึ้นจึงเป็นลดคุณประโยชน์ของโสมลงโดยปริยาย ดังนั้นราคาโสมขาวจึงถูกกว่าโสมแดง

โสมแห้ง : เหมือนการทำผักตากแห้งบ้านเรา คือ นำโสมมาตัดรากฝอย แล้วนำไปตากแห้งก่อน แล้วค่อยอบ

โสมสกัด : ตัวนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการนำ ทุกส่วนของโสมมาแปรรูปด้วยการสกัดเพื่อเป็นสารตั้งต้นในการทำอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอางค์

หากหลายๆท่านที่เคยไปเที่ยวชมไร่โสมที่ประเทศเกาหลีมาแล้ว ลองสังเกตุหรือนึกย้อนกลับไปดีๆ ท่านจะพบว่า ชาวสวนโสมนั้น มีผิวพรรณที่ดีมาก แม้ว่าจะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูเปล่งปลั่ง #ผิวพรรณหน้าตาดูสดใส แก้มเป็นสีชมพู ดูมีเลือดฝาด รวมทั้ง ยังดูกระปรี้กระเปร่า โสมเกาหลี" href="http://www.thaiherbweb.com/product-type/3294/โสมผสมใบแป๊ะก้วย.html">#กระฉับกระเฉง ดูพวกเค้าไม่เครียด ก็เพราะชาวสวนปลูกโสมก็ต้องทานโสมเป็นเรื่องปกติ ลักษณะการทานของเค้าเหมือนทานหัวมันต้มบ้านเรา หรือ เอาไปเป็นเครื่องเคียงทานร่วมกันกับกิมจิ เมื่อทานบ่อยๆเข้าร่างกายก็จะได้รับประโยขน์จากโสมมากขึ้นเรื่อยๆ เลยทำให้ขชาวสวนโสมดูไม่แก่ตามวัย เพราะอะไรก็เพราะในโสมมีสารชนิดหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาข้างต้น สารตัวนี้คือ สารชาโปนิน ซึ่งทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดี หรือพูดง่ายๆสารชาโปนินจะช่วยล้างสิ่งสกปรกต่างๆออกจากร่างกายของเรา จึงส่งผลให้ทุกส่วนของร่างกายรวมไปถึงอวัยวะภายในสะอาดและมี#ภูมิคุ้มกัน อยู่ตลอดเวลา

เมื่อคุณสมบัติของโสมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาลเช่นนี้ ดังนั้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทานโสมคือ ช่วงเวลาที่ท้องว่าง ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารสกัดที่เราได้รับจากโสมเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีที่สุด แต่ถ้าใครไม่อยากฝีนใจตัวเองว่าต้องทานโสมตอนไหนก็ไม่เป็นไร เพราะโสมเกาหลี คือแหล่งอาหารอันทรงคุณค่า จึงไม่มีข้อแม้ในการทาน เราสามารถทานโสมได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายในด้านการรักษาว่าต้องการปริมาณโสมที่มากหรือน้อยกว่าเพียงใดเท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ในรากของโสมนั้นมีสาร #จินเซ็นโนไซด์ ซึ่งสารชนิดนี้มีหลายชนิด โดยจินเซ็นโนไซด์นั้นจะสะสมอยู่ในส่วนต่างๆของรากโสม โดยเราอาจจะรู้สึกแปลกใจเมื่อทราบว่า ส่วนที่มีจินเซ็นโนไซด์น้อยที่สุด คือส่วนตัว รองลงมาคือส่วนแขนขา และส่วนที่มีมากที่สุดคือ ส่วนหัว

ดังนั้นหากเราได้มีโอกาสได้ทานโสมหละก็ ไม่ต้องเกี่ยงว่าจะเป็นส่วนไหนขอบอกว่า ท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่โชคดีเพราะครั้งหนึ่งในชีวิตท่านได้มีโอกาสได้ทานพืชที่มีประโยชน์และคุณค่าอย่างสูงสุดแล้วhttp://goo.gl/FQD7La   

               

                                        โสมแปะก๊วย

 

ทำไมต้องโสมของร้านนี้

เพราะร้านนี้เราใช้เฉพาะโสมเกาหลี เท่านั้น ไม่ใช่โสมอเมริกา สรรพคุณคนละระดับทานของดีคุ้มค่าผลิตจากรากโสมเกาหลีสด เกรด A อายุ 6 ปี มาผ่านกระบวนการทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว เพาะป้องกันเอ็มไซด์จะทำลายสารจินเซนโนไซน์ในรากโสม หลังจากผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งแล้ว ก็นำมาบดเป็นผงละเอียด 100% ผ่านการตรวจสอบแล้วควบคุมความชื้นให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แล้วนำมาบรรจุแค็ปซูล ขนาด 500 มิลลิกรัม

ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพราะผู้ผลิตโสมมีมาตรฐานการผลิตที่แตกต่างกัน

  • มีผลต่อสมรรภาพของร่างกาย / ป้องกันความชรา

  • ช่วยป้องกันความอ่อนเพลีย , ความเมื่อยล้า

  • ทำให้ร่างกายมีความทนทานต่อการทำงานหรือการออกกำลังกายได้ยาวขึ้น ช่วยให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ

  • ช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของร่างกาย โดยเฉพาะหลังอาการเจ็บป่วย

  • ป้องกันความชรา กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ของอวัยวะต่างๆ

  • ผลต่อระบบการไหลเวียนของโลหิต / ความดันโลหิต / ปริมาณน้ำตาลในเลือด

  • ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือด ขจัดไขมันตามผนังหลอดเลือด

  • ขจัดสารพิษต่างๆในเลือด ช่วยให้เกล็ดเลือดมีความสมบูรณ์

  • กระตุ้นการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว ป้องกันโรคโลหิตจาง

  • ปรับระบบความดันของโลหิต ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว

  • ป้องกันการช็อกในภาวะที่เสียเลือดมาก ช่วยในสตรีที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับรอบเดือน

  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

  • ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน

  • ผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน

  • ช่วยปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล ป้องกันการติดเชื้อ

  • เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ สุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ เป็นหวัดง่าย แพ้อากาศ ไอหรือจามบ่อยๆ

  • ผลต่อระบบประสาทสัมผัส และระบบความจำ

  • ใช้กระตุ้นให้ร่างกายมีความตื่นตัว ป้องกันและลดความเครียด

  • ทำให้สมองปลอดโปร่ง เสริมสร้างระบบความจำ

  • ยืดอายุเซลล์สมอง ช่วยให้ผ่อนคลาย

  • ผลต่อระบบการย่อย การดูดซึมและการขับถ่าย

  • ช่วยป้องกันโรคอ้วน ไขมันสะสม ฮอร์โมนผิดปกติ

  • โรคลำไส้อักเสบ

  • ท้องผูก ริดสีดวงทวาร

  • ผลต่อระบบอวัยวะภายใน (หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต)

  • ควบคุมการผลิตและการทำงานของฮอร์โมนต่างๆให้อยู่ในภาวะสมดุล ป้องกันอาการเสียหาย

  • เสริมสร้างความแข็งแรงของอวัยวะภายในต่างๆ

  • ผลต่อระบบสืบพันธุ์และสมรรถภาพทางเพศ

  • กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนทางเพศ

  • ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของเสปิร์ม และไข่

  • เพิ่มปริมาณและความแข็งแรงของเสปิร์ม

ข้อควรระวังในการใช้


1.ไม่ควรใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ ควรใช้เป็นช่วงๆ คือนาน 1-2 เดือน แล้วหยุด 1-2 เดือน แล้วเริ่มใหม่ เพราะโสมเป็นสมุนไพรมีประโยชน์สุง มีความร้อนสูงจึงควรทานเว้น ทานเว้น
2.ควรทานโสมก่อนอาหาร 3 ชั่วโมง และไม่ควรทานพร้อมวิตามินซี หรือผลไม้รสเปรี้ยว
3.อาจพบอาการข้างเคียงถ้าใช้ในขนาดสูงกว่าที่แนะนำ เช่นความดันโลหิตสูง ตื่นเต้น กระวนกระวาย ท้องเสีย เป็นผื่นที่ผิวหนัง นอนไม่หลับ ซึ่งเรียกว่า “ginseng abuse syndrome”

 

 

 

 



ขอบคุณบทความจาก : http://www.thaiherbweb.com/product-type/3300/พลังโสมแท้-(6ปี).html

สมุนไพร รีแพร์ ฮ๊๋ยุ่ม รากสามสิบ เพื่อความสุขผู้หญิง

#หญ้ารีแพร์ สมุนไพร รักษาโรค

 

                                  หญ้ารีแพร์

        


เมื่อไม่นานมานี้เคยสังเกตุบริเวณสวนหน้าบ้านเหมือนกันว่า หญ้าขึ้นรกมาก จึงต้องถึงเวลาตัดหญ้าซะบ้างแล้ว ตัดไปตัดมาก็เกือบเตียนหมดแล้ว ปรากฎได้ยินเสียงร้องมาแต่ไกล อ้าว!เสียงแม่ร้อง ร้องบอกให้เราหยุดตัดหญ้าเดี๋ยวนี้ ก็ปิดเครื่องทันที ถามไถ่ไปมาได้ความว่า มีต้นหญ้าชนิดหนึ่ง ลักณะใบคล้ายๆใบไผ่ลายใบมีลักษณะเป็นลายริ้วตรงๆ ลำต้นคล้ายหญ้าขนอ่อน แต่ไม่เป็นข้อปล้อง ใบค่อนข้างเยอะ สีออกเขียวสด ไม่เข้ม บางก็ลักษณะคล้ายสีตองนวล ไม่ต้นจะค่อนข้างสูง สูงคล้ายหญ้าขนอ่อน เจ้าต้นที่พรรณนามาซะยาวนี่หละที่แม่ร้องเสียงหลงว่า ห้ามตัดเด็ดขาด เพราะมันคือ หญ้ารีแพร์

 

#หญ้ารีแพร์ ใบคล้ายใบไผ่ ก็เพราะเป็นพืชในตระกูลไผ่ อันที่จริงปลูกง่ายมากๆ สามารถขยายพันธุ์หญ้ารีแพร์ได้ด้วยวิธีการแตกหน่อ หรือ เพาะเมล็ด แต่ถ้าใครโชคร้ายไปเจอหญ้ารีแพร์ต้นตัวผู้แล้วหละก็ จะไม่สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดได้ เพราะหญ้ารีแพร์ตัวผู้ไม่มีเมล์ด ต้องเป็นหญ้ารีแพร์ตัวเมียเท่านั้น ดังนั้นวิธีการขยายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมและง่ายก็คือวิธีการขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อ ทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมีย

 

เจ้าพืชสมุนไพรตัวนี้โด่งดังมาถึงขนาดว่า เพาะขายกันไม่ทัน หรือแม้กระทั่งมีโจรขโมยหญ้ารีแพร์กันเลยทีเดียว และที่ยิ่งไปกว่านั้นมีการขายหญ้ารีแพร์ปลอมด้วย ดังนั้นหากสาวๆท่านใดต้องการมีหญ้ารีแพร์ไว้ในครอบครองก็ต้องสนใจคุณลักษณะเด่นเฉพาะตัวที่สามารถแสดงอัตลักษณ์ หรือ ความเป็นตัวตนของหญ้ารีแพร์ได้ ลักษณะของหญ้ารีแพร์ก็ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จดจำก่อนซื้อหามาครอบครอง

 

สรรพคุณของหญ้ารีแพร์ รากสามสิบที่เราควรรู้ อาทิ

 

ช่วยทำให้ช่องคลอดกระชับ โดยเฉพาะคุณแม่ทั้งหลายที่ผ่านการมีบุตรมาแล้ว

 

เป็นพืชสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่เหมาะแก่การนำไปอบ อาบ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ผิวพรรณ คุณสาวๆจะเปล่งปลั่งดูมีน้ำมีนวล ทำให้บาดแผลหายเร็ว ที่สำคัญทำให้มดลูกเข้าอู่ได้ด้วย

 

ในหญ้ารีแพร์มีสารสำคัญคือ ซิลิกา โดยสารชนิดนี้เป็นแหล่งกำเนิดของคอลลาเจน ทำให้เราดูเด็กไม่แก่ก่อนวัย

หญ้ารีแพร์ ฮี้ยุม

 

หญ้ารีแพร์สามารถนำมาทานได้ คือ เด็ดยอดไปลวกจิ้มน้ำพริก หรือ นำใบไปคั้นทำน้ำดื่มได้ ก็จะช่วยในการขับปัสสาวะ รวมทั้งยังช่วยให้ #ผิวชุ่มชื้น ดูเปล่งปลั่ง

 

สำหรับคุณสมบัติที่ทำให้หญ้ารีแพร์ รากสามสิบโด่งดังถึงขนาดต้องขโมยกันขาย ก็คือ #ช่วยกระชับช่องคลอด #ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ แต่ในการนำมาใช้ก็ต้องรู้จักวิธีใช้ให้ถูกต้องด้วย โดยสามารถทำได้ทั้งการอบไอน้ำ และ การรมควัน

 


การอบไอน้ำ เราก็ใช้หญ้ารีแพร์ นำไปต้มรวมกันกับสมุนไพรตัวอื่นๆ โดยหากจะเน้นคุณสมบัติของหญ้ารีแพร์ก็ให้เลือกผสมหญ้ารีแพร์ในสัดส่วนที่มากหน่อย โดยก่อนที่จะอบไอน้ำ ควรอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่นก่อนแล้วจึงอบตัวด้วยสมุนไพรต่อ แต่ควรรักษาอุณหภูมิในการอบไม่ให้ร้อนจนเกินไป จนกระทั่งหายใจไม่ออกเพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งวิธีการนี้ก็จะช่วยให้ #ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูเต่งตึงมีน้ำมีนวล ไม่แห้งกร้าน อีกทั้งยังทำให้มดลูกเข้าอู่อีกด้วย

 


การรมควัน วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ รุ่นย่าแล้ว โดยให้เรานำหญ้ารีแพร์ที่มีอายุ 45 วันขึ้นไปมาตากแดดก่อน แต่ไม่ได้ตากให้แห้งแค่พอให้รู้ว่า หญ้ารีแพร์ผ่านการตากแดดมาแล้ว จากนั้นให้ตั้งเตาถ่าน โดยถ่านหรือไม่ที่ใช้ต้องไม่ติดไฟ โดยจะต้องมีแต่ควันเท่านั้น แล้วให้นำไปวางไว้ใต้เก้าอี้ที่เจาะรู้ตรงกลางเพื่อให้ควันพุ่งขึ้นมาโดยตรง คุณผู้หญิงพร้อมแล้วก็นั่งไปที่เก้าอี้เจาะรู้ไปเลย ซึ่งจะเป็นการรมควันเฉพาะจุด โดยความร้อนที่ออกมาจากเตาในการเผาหญ้าจะต้องไม่ร้อนเกินไปเพราะอาจเป็นอันตรายได้ อีกทั้งในการรมควันเราจะต้องไปสูดดมควันเข้าไปโดยตรงเพราะจะส่งผลอันตรายต่อตัวเองได้ โดยในการรมควันควรใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที วิธีนี้จะช่วยให้ช่องคลอดกระชับได้เร็วขึ้น จะช่วยลดอาการอักเสบของแผล #ช่วยลดบวม #ช่วยสมานแผลให้เร็วขึ้น และควรทำอย่างน้อย 2-5 ครั้ง ก็จะเห็นผลเร็วทันตา หรือถ้าไม่อยากยุ่งยากสมัยนี้ร้านสปาต่างๆก็มีหญ้ารีแพร์ที่เป็นส่วนหนึ่งในการอบตัวหรือทำสปาแล้ว สาวๆหลังคลอดที่ต้องการอยู่ไฟก็สามารถใช้หญ้าชนิดนี้ได้ โดยร้านสปาก็จะสามารถจัดให้ได้

 

โดยแพทย์แผนไทยได้ออกมาแจ้งแล้วว่าหญ้ารีแพร์ไม่ได้มีอันตรายใดๆต่อร่างกาย แต่สิ่งที่จะเป็นอันตรายซึ่งก็มีข่าวมาแล้วก็คือ หญิงสาวอยากสวย ตายขณะที่อบตัวด้วยสมุนไพร สาเหตุคือ ขาดอากาศหายใจ ถ้าอยากสวยแต่ไม่ได้ชีวิตกลับไปแบบนี้ก็ไม่คุ้มกันเลย

 

และด้วยคุณสมบัติในการสมานบาดแผล การลดบวม อักเสบของหญ้ารีแพร์นั้น ก็อาจเป็นแนวทางในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากหญ้ารีแพร์เมื่อให้สาวๆสามารถนำหญ้ารีแพร์ไปใช้ได้อย่างสะดวกมากขึ้นได้ โดยไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของครีม ของเครื่องดื่มสมุนไพร หรือน้ำมันทาตัวนวดตัวในธุรกิจสปาได้laughing

 

#รากสามสิบหรือสาวร้อยผัว #สมุนไพรรีแพร์ #กระชับภายในสตรี

รากสามสิบ

 

 

"สาวร้อยผัว" เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ แก้การอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ

 


ในตำราอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิง ในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆ ของผู้หญิงเช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย ภาวะหมดประจำเดือน ( menopause )

 

#รากสามสิบ หรือ #ศตวารี ถือเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้หญิงช่วยในการสร้างสมดุล แก่ระบบฮอร์โมนเพศหญิง

 

ศตวารีเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติหลัก สำหรับบำรุงโลหิตสตรี และฟื้นฟูความกระชับของช่องคลอด บำรุงมดลูก ไข่ และเตรียมอวัยวะเพศหญิงให้มีความพร้อมต่อการตั้งครรภ์ ป้องกันการแท้งลูก อีกทั้งยังช่วยบำรุงน้ำนม
ประโยชน์ของ ศตวารี มีมากมายเพราะประกอบด้วย ไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในผู้หญิง มีความสำคัญเพื่อคงความสาวสำหรับผู้หญิง ในทางเภสัชมีการแนะนำว่าพืชที่ให้ เอสโตรเจน มีผลดีกว่าการใช้ตัวยาปรับสมดุลฮอร์โมน เนื่องจากไม่มีผลข้างเคียงในทางลบ
สำหรับผู้ชาย เป็นยาชูกำลังเช่นเดียวกับโสมเนื่องจาก รากสามสิบ เป็นสมุนไพรธรรมชาติที่มี สรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ชะลอความชรา

 


ชาวฮินดูเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "ราชินีแห่งสมุนไพร" เนื่องจากช่วยส่งเสริมความรัก และ กระชับความสัมพันธ์ให้ชีวิตคู่

 

** ปัจจุบันมีสารสกัด ด้วยน้ำของรากสามสิบ จากอินเดีย ไปจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น Dietary supplement กล่าวคือ สามารถขายได้ทั่วไปอย่างอิสระไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์


เหตุผลที่ สาวๆนิยมใช้ และใช้อย่างต่อเนื่อง

 


** ช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้แฟนไม่เบื่อ แทบไม่รุ้เลยว่าเราเคยมาก่อนรึเปล่า เหมือนเป็นครั้งแรกของเรา
**ช่วยฆ่าเชื้อโรคในช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดสะอาด ไม่เป็นกังวลเรื่อง กลิ่นอับ อีกต่อไป
**เป็นสมุนไพรธรรมชาติ ไม่ใช่สารเคมี ไม่ตกค้าง ไม่ส่งผลเสียในระยะยาว
**ราคาไม่แพง เพราะเป็นพืชสมุนไพรที่ปลูกได้ในประเทศไทย ภูมิปัญญาไทยๆ ไม่เสียค่านำเข้าใดๆ

 

และเพื่อให้ง่าย และสะดวกในการบริโภคสมุนไพร แต่ยังคงไว้ซึ่งสรรพคุณหลักในสมุนไพร จึงทำเป็นแคปซูลซึ่งนำเฉพาะส่วนที่เป็นราก ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่า และสรรพคุณทางยามากที่สุด มาผ่านกระบวนการอบ บด และอัดใส่แคปซูล

 

 

 

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : หญ้ารีแพร์ ฮี้ยุม

ที่มา : http://www.thaiherbweb.com/product/206430/รากสามสิบหรือสาวร้อยผัว.html